วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความเป็นมาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System : GIS) 

คือ กระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลเชิงพื้นที่ (spatial data) ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยการกำหนดข้อมูลเชิงบรรยายหรือข้อมูลคุณลักษณะ (attribute data) และสารสนเทศ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ (spatial data) เช่น ตำแหน่งบ้าน ถนน แม่น้ำ เป็นต้น ในรูปของ ตารางข้อมูล และ ฐานข้อมูล
               ระบบ GIS ประกอบไปด้วยชุดของเครื่องมือที่มีความสามารถในการเก็บรวบรวม ปรับปรุงและการสืบค้นข้อมูล เพื่อจัดเตรียม ปรับแต่ง วิเคราะห์และการแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS ให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับช่วงเวลาได้ เช่น

 - การแพร่ขยายของโรคระบาด
 - การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน
 - การบุกรุกทำลาย
 - การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่

ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปล สื่อความหมาย และนำไปใช้งานได้ง่าย
ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน (รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน



องค์ประกอบของ GIS
  องค์ประกอบหลักของระบบ GIS จัดแบ่งออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ ๆ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (hardware) โปรแกรม (software) ขั้นตอนการทำงาน (methods) ข้อมูล (data) และบุคลากร (people) โดยมีรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบดังต่อไปนี้

1. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เช่น ดิจิไทเซอร์ สแกนเนอร์ เครื่องพิมพ์ หรืออื่น ๆ เพื่อใช้ในการนำเข้าข้อมูล ประมวลผล แสดงผล และผลิตผลลัพธ์ของการทำงาน
2. โปรแกรม คือชุดของคำสั่งสำเร็จรูป เช่น โปรแกรม Arc/Info, MapInfo ฯลฯ ซึ่งประกอบด้วยฟังก์ชัน การทำงานและเครื่องมือที่จำเป็นต่าง ๆ สำหรับนำเข้าและปรับแต่งข้อมูล, จัดการระบบฐานข้อมูล, เรียกค้น,วิเคราะห์ และ จำลองภาพ
3.ข้อมูล คือข้อมูลต่าง ๆ ที่จะใช้ในระบบ GIS และถูกจัดเก็บในรูปแบบของฐานข้อมูล โดยได้รับการดูแลจากระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS ข้อมูลจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญรองลงมาจากบุคลากร
4.บุคลากร คือ ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เช่น ผู้นำเข้าข้อมูล ช่างเทคนิค ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญสำหรับวิเคราะห์ข้อมูล ผู้บริหารซึ่งต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ บุคลากรจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบ GIS เนื่องจากถ้าขาดบุคลากร ข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาลนั้น ก็จะเป็นเพียงขยะไม่มีคุณค่าใดเลยเพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าขาดบุคลากรก็จะไม่มีระบบ GIS
5.วิธีการหรือขั้นตอนการทำงาน คือวิธีการที่องค์กรนั้น ๆ นำเอาระบบ GIS ไปใช้งานโดยแต่ละ ระบบแต่ละองค์กรย่อมีความแตกต่างกันออกไป ฉะนั้นผู้ปฏิบัติงานต้องเลือกวิธีการในการจัดการกับปัญหาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับของหน่วยงานนั้น ๆ เอง  



GIS ทำงานอย่างไร
  ภาระหน้าที่หลัก ๆ ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มีอยู่ด้วยกัน 5 อย่างดังนี้
 1. การนำเข้าข้อมูล (input) ก่อนที่ข้อมูลทางภูมิศาสตร์จะถูกใช้งานได้ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ข้อมูลจะต้องได้รับการแปลง ให้มาอยู่ในรูปแบบของข้อมูล เชิงตัวเลข (digital format) เสียก่อน เช่น จากแผนที่กระดาษไปสู่ข้อมูลใน รูปแบบดิจิตอลหรือแฟ้มข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ที่ใช้ในการนำเข้าเช่น Digitizer Scanner หรือ Keyboard เป็นต้น
2. การปรับแต่งข้อมูล (manipulation) ข้อมูลที่ได้รับเข้าสู่ระบบบางอย่างจำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับงาน เช่น ข้อมูลบางอย่างมีขนาด หรือสเกล (scale) ที่แตกต่างกัน หรือใช้ระบบพิกัดแผนที่ที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้จะต้องได้รับการปรับให้อยู่ใน ระดับเดียวกันเสียก่อน
3. การบริหารข้อมูล (management) ระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS จะถูกนำมาใช้ในการบริหารข้อมูลเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในระบบ GIS DBMS ที่ได้รับการเชื่อถือและนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดคือDBMS แบบ Relational หรือระบบจัดการฐานข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (RDBMS) ซึ่งมีหลักการทำงานพื้นฐาน ดังนี้คือ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บ ในรูปของตารางหลาย ๆ ตาราง
4. การเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล (query and analysis) เมื่อระบบ GIS มีความพร้อมในเรื่องของข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การนำข้อมูลเหล่านี่มาใช้ให้เกิด ประโยชน์ เช่น ใครคือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนที่ติดกับโรงเรียน? เมืองสองเมืองนี้มีระยะห่างกันกี่กิโลเมตร? ดินชนิดใดบ้างที่เหมาะสำหรับปลูกอ้อย? หรือ ต้องมีการสอบถามอย่างง่าย ๆ เช่น ชี้เมาส์ไปในบริเวณที่ต้องการแล้วเลือก (point and click) เพื่อสอบถามหรือเรียกค้นข้อมูล นอกจากนี้ระบบ GIS ยังมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์เชิงประมาณค่า (proximity หรือ buffer) การวิเคราะห์เชิงซ้อน (overlay analysis) เป็นต้น
5. การนำเสนอข้อมูล (visualization) จากการดำเนินการเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ในรูปของตัวเลขหรือตัวอักษร ซึ่งยากต่อการตีความหมายหรือทำความเข้าใจ การนำเสนอข้อมูลที่ดี เช่น การแสดงชาร์ต (chart) แบบ 2 มิติ หรือ 3 มิติ รูปภาพจากสถานที่จริง ภาพเคลื่อนไหว แผนที่ หรือแม้กระทั่งระบบมัลติมีเดีย สื่อต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจความหมายและมองภาพของผลลัพธ์ที่กำลังนำเสนอได้ดียิ่งขึ้นอีก



ลักษณ์ข้อมูลในระบบภูมิสารสนเทศศาสตร์
   โลกมีความสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะเก็บข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโลกไว้ในรูปข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จึงต้องเปลี่ยนปรากฏการณ์บน ผิวโลกจัดเก็บในรูปของตัวเลขเชิงรหัส (digital form) โดยแทนปรากฏการณ์เหล่านั้นด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เรียกว่าฟีเจอร์ (feature) ไอเฒ่าออนไลน์



ประเภทของฟีเจอร์
   ประเภทของฟีเจอร์ของจีไอเอส ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์บนโลกแผนที่กระดาษบันทึกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และแทนสิ่งต่างๆ บนโลกที่เป็นลายเส้นและพื้นที่ด้วยสัญลักษณ์แบบ จุด เส้น พื้นที่และตัวอักษร ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์จะใช้ feature ประเภทต่างๆ ในการแทนปรากฏการณ์โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

- จุด (point)
- เส้น (line)
- โพลีกอน (polygon)






อ้างอิง
(กดที่รูปภาพเพื่อไปตาม URL)









How to 9 : การวิเคราะห์เเบบจำลองเเรสเตอร์ (Raster model)

การวิเคราะห์พื้นที่เหมาะสมสำหรับการสร้างที่ฝังกลบขยะ
  กำหนดประเด็นปัญหา
  1. ความเหมาะสมในแต่ละระดับมีพื้นที่เท่าใด

  2. ในแต่ละพื้นที่ (อำเภอ) มีความเหมาะสมอยู่ในระดับใดบ้าง

กำหนดปัจจัยหรือตัวแปรที่ใช้วิเคราะห์
  1. ความลาดชัน
  2. ลักษณะชั้นหินฐาน
  3. ระยะห่างจากถนนสายหลัก
  4. ระยะห่างจากชุมชน

การเตรียมข้อมูล
  ได้แก่ การนำเข้าข้อมูลจุดความสูง การสร้างแบบจำลองความสูงเชิงเลข (DEM) การคำนวณความลาดชัน
  การคำนวณ Euclidean distance
  การจัดกลุ่มข้อมูลใหม่ (Reclassify)

ค่าคะแนนและค่าถ่วงน้ำหนักของแต่ละตัวแปร 


การวิเคราะห์ข้อมูล


การวิเคราะห์ซ้อนทับ (Overlay analysis)
  Suitable land fill = W1*S1 + W2*S2 + … + Wn*Sn
จัดกลุ่มพื้นที่เหมาะสม
  จัดกลุ่มพื้นที่เหมาะสมสำหรับการสร้างที่ฝังกลบขยะออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
  เหมาะสมน้อย  X – SD
  เหมาะสมปานกลาง  X - SD  ≤ S  ≤ X + SD
  เหมาะสมมาก  

เปิดข้อมูล Chon_elv ที่เป็นข้อมูลแสดงค่าความสูง และข้อมูล Chon_pro ที่เป็นข้อมูลจังหวัด



ทำการประมาณค่าช่วงด้วยข้อมูลจุด หรือ IDW โดยเรียกคำสั่งมาจาก ArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Interpolation > IDW 



หน้าต่างของ IDW ช่องที่ 1 Input point features ใส่ข้อมูลที่แสคงค่าความสูง Chon_elv
ช่องที่ 2 Z value field เลือกเป็น ele
ช่องที่ 3 Output raster เลือกที่ที่จะจัดเก็บ
ช่องที่ 4 Output cell size กำหนดค่าเป็น 40 จากนั้นทำการตั้งค่า คลิก Environments...



เลือกตั้งค่าที่ Processing Extent ช่อง Extent เลือก Same as layer Chon_pro จากนั้นเลือกมาด้านล่างเพื่อทำการตั้งค่า  Raster Analysis



Raster Analysis ในช่อง Mask เลือก Chon_pro จากนั้นคลิก OK



ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล จากนั้นกด OK



จากนั้นจะได้ผลลัพธ์ขากการทำ IDW



ทำการหาค่า Slope โดยเลือกจากเครื่องมือ ArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Surface > Slope



หน้าต่างของ Slope ช่องที่ 1 Input raster ให้เลือกชั้นข้อมูลที่ต้องการหาค่า
ช่องที่ 2 Output raster เลือกว่าจะจัดเก็บที่ไหน 
ช่องที่ 3 Output measurrement เลือกเป็น Degree หรือแบบองศา จากนั้นคลิก OK 



ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Slope  



ต่อมาคือการใช้คำสั่ง Reclassify โดยเลือกจาก  ArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Reclass > Reclassify



ช่อง Input เลือกข้อมูลที่ต้องการทำ Reclassify จากนั้นเข้าไปตั้งค่า โดยคลิกที่ Classify



ช่อง Classes ให้เลือก Class เป็น 4 และทำการเปลี่ยนค่าที่ Breale Values ตามลำดับคือ 5 , 15 , 30 และค่าสูงสุดในชั้นข้อมูล จากนั้นคลิก OK



เปลี่ยนค่าในช่อง New Values คือ 3 , 2 , 1 , 0 ตามลำดับ และในช่อง Output raster เลือกที่ ที่ต้องการจัดเก็บ จากนั้นคลิก OK



จะได้ข้อมูล Slope ที่ทำ Reclassify เรียบร้อยแล้ว


ต่อมาคือการ ทำชั้นข้อมูลหิน 
ทำการเปิดชั้นข้อมูลหินขึ้นมา Chon_geo



ชั้นข้อมูลจะแสดงรายละเอียดข้อมูลของชั้นหิน



ทำชั้นข้อมูลให้ คลิกที่ Table Option > Add Field



ในช่อง Name ทำการตั้งชื่อชั้นข้อมูล ช่อง Type เลือกเป็น Short Integer และช่อง Field Properties เลือกจำนวนอักขระ จากนั้นคลิก OK




เมื่อได้ Field ใหม่แล้วจากนั้นทำการหาข้อมูล โดยเลือกใช้คำสั่ง Select By Attributes...



เริ่มจากการหาข้อมูลของ หินทราย หินทรายแป้ง และหินกรวด โดยการคลิกที่ "DESC_T1" คลิกแสดงข้อมูล Get Unique Values 
วิธีการเลือกข้อมูล คือ คลิกเลือก "DESC_T1" = (ข้อมูลชั้นหิน1) OR "DESC_T1" = (ข้อมูลชั้นหิน2) OR ... เมื่อเลือกข้อมูลเรียบร้อยให้คลิกที่ Apply เพื่อแสดงข้อมูล 




หลังจากที่ทำการเลือกชั้นข้อมูลเสร็จแล้ว ก็จะทำการใส่ค่าชั้นข้อมูล โดยการคลิกขวาที่ชั้นข้อมูล จากนั้นเลือก Field Calculator...



ใส่ค่า Class จากนั้นคลิก OK ค่าของ Class ก็จะปรากฏอยู่ในชั้นข้อมูล โดยให้เลข 1 แทนค่าของส่วนหินทราย หินทรายแป้ง และหินกรวด



ส่วนต่องมาที่จะทำการใส่ค่าข้อมูลคือ ส่วนที่ 2 หินบะซอลต์ หินปูน และหินตะกอน
โดยการคลิกที่ "DESC_T1" คลิกแสดงข้อมูล Get Unique Values 
วิธีการเลือกข้อมูล คือ คลิกเลือก "DESC_T1" = (ข้อมูลชั้นหิน1) OR "DESC_T1" = (ข้อมูลชั้นหิน2) OR ... เมื่อเลือกข้อมูลเรียบร้อยให้คลิกที่ Apply เพื่อแสดงข้อมูล 



หลังจากที่ทำการเลือกชั้นข้อมูลเสร็จแล้ว ก็จะทำการใส่ค่าชั้นข้อมูล โดยการคลิกขวาที่ชั้นข้อมูล จากนั้นเลือก Field Calculator...



ใส่ค่า Class จากนั้นคลิก OK ค่าของ Class ก็จะปรากฏอยู่ในชั้นข้อมูล โดยให้เลข 2 แทนหินบะซอลต์ หินปูน และหินตะกอน



ส่วนต่องมาที่จะทำการใส่ค่าข้อมูลคือ ส่วนที่ 3 คือหินโคลน หินดินดาน หินแกรนิต หินไนส์ และควอร์ตไซต์
โดยการคลิกที่ "DESC_T1" คลิกแสดงข้อมูล Get Unique Values 
วิธีการเลือกข้อมูล คือ คลิกเลือก "DESC_T1" = (ข้อมูลชั้นหิน1) OR "DESC_T1" = (ข้อมูลชั้นหิน2) OR ... เมื่อเลือกข้อมูลเรียบร้อยให้คลิกที่ Apply เพื่อแสดงข้อมูล 



หลังจากที่ทำการเลือกชั้นข้อมูลเสร็จแล้ว ก็จะทำการใส่ค่าชั้นข้อมูล โดยการคลิกขวาที่ชั้นข้อมูล จากนั้นเลือก Field Calculator...



ใส่ค่า Class จากนั้นคลิก OK ค่าของ Class ก็จะปรากฏอยู่ในชั้นข้อมูล โดยให้เลข 2 หินโคลน หินดินดาน หินแกรนิต หินไนส์ และควอร์ตไซต์



ตรวจสอบข้อมูลเพื่อความเรียบร้อย



 ทำการแปลงข้อมูล Polygon เป็น Raster โดยการใช้คำสั่ง Polygon to Raster ที่อยู่ใน AceToolbox > Conversion Tools > To Raster > Polygon to Raster 



หน้าต่างของ Polygon to Raster ช่องแรกคือช่อง Input Features เลือกข้อมูลที่ต้องการแปลง
ช่องที่ 2 Value field เลือกชั้นข้อมูล class_1 ในตารางที่ทำการใส่ค่าเรียบร้อยแล้ว
ช่องที่ 3 Output Raster Dataset เลือกที่ที่ต้องการจัดเก็บ
และช่องสุดท้าย Cellsize เลือกค่าเป็น 40  จากนั้นคลิก OK



ผลลัพธ์ที่ได้จากการแปลงค่า Polygon เป็น Raster




การจัดข้อมูลเส้น เลือกข้อมูล Polygon = Chon_pro และ ข้อมูล Line = Chon_tran




ทำการคำนวณค่าโดยใช้คำสั่ง Euclidean Distance ที่อยู่ใน AceToolbox > Spatial Analyst Tools > Distance > Euclidean Distance



หน้าต่างของ Euclidean Distance ช่องที่ 1 Input raster or feature source data ให้ใส่ข้อมูลเส้น
ช่องที่ 2 Output distance raster ใส่ที่ที่ต้องการจัดเก็บ
และช่องที่ 3 Output cell size ใส่ค่าข้อมูล จากนั้นไปตั้งค่าที่ Environments...



เลือกตั้งค่าที่ Processing Extent ช่อง Extent เลือก Same as layer Chon_pro จากนั้นเลือกมาด้านล่างเพื่อทำการตั้งค่า  Raster Analysis



Raster Analysis ในช่อง Mask เลือก Chon_pro จากนั้นคลิก OK



ตรวจสอบความถูกต้องจากนั้นคลิก OK



ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ  Euclidean Distance



ต่อมาคือการใช้คำสั่ง Reclassify โดยเลือกจาก  ArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Reclass > Reclassify



ช่อง Input เลือกข้อมูลที่ต้องการทำ Reclassify จากนั้นเข้าไปตั้งค่า โดยคลิกที่ Classify



ช่อง Classes ให้เลือก Class เป็น 4 และทำการเปลี่ยนค่าที่ Breale Values ตามลำดับคือ 1000 , 2000 , 3000 และค่าสูงสุดในชั้นข้อมูล จากนั้นคลิก OK



เปลี่ยนค่าในช่อง New Values คือ 0 , 1 , 2 , 3ตามลำดับ และในช่อง Output raster เลือกที่ ที่ต้องการจัดเก็บ จากนั้นคลิก OK



จะได้ผลลัพธ์ของการทำ Chon_tran ที่ทำการ Reclassify แล้ว



ต่อมาจะทำการหาระยะจุดห่าน จุดห่างจากหมู่บ้าน โดยการเปิดชั้นข้อมูลจุดขึ้นมา Chon_vill



ทำการคำนวณค่าโดยใช้คำสั่ง Euclidean Distance ที่อยู่ใน AceToolbox > Spatial Analyst Tools > Distance > Euclidean Distance



หน้าต่างของ Euclidean Distance ช่องที่ 1 Input raster or feature source data ให้ใส่ข้อมูลจุด
ช่องที่ 2 Output distance raster ใส่ที่ที่ต้องการจัดเก็บ
และช่องที่ 3 Output cell size ใส่ค่าข้อมูล จากนั้นไปตั้งค่าที่ Environments...



เลือกตั้งค่าที่ Processing Extent ช่อง Extent เลือก Same as layer Chon_pro จากนั้นเลือกมาด้านล่างเพื่อทำการตั้งค่า  Raster Analysis



Raster Analysis ในช่อง Mask เลือก Chon_pro จากนั้นคลิก OK



ตรวจสอบความถูกต้องจากนั้นคลิก OK



ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ  Euclidean Distance



ต่อมาคือการใช้คำสั่ง Reclassify โดยเลือกจาก  ArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Reclass > Reclassify



ช่อง Input เลือกข้อมูลที่ต้องการทำ Reclassify จากนั้นเข้าไปตั้งค่า โดยคลิกที่ Classify



ช่อง Classes ให้เลือก Class เป็น 4 และทำการเปลี่ยนค่าที่ Breale Values ตามลำดับคือ 1000 , 2000 , 3000 และค่าสูงสุดในชั้นข้อมูล จากนั้นคลิก OK




เปลี่ยนค่าในช่อง New Values คือ 0 , 1 , 2 , 3 ตามลำดับ และในช่อง Output raster เลือกที่ ที่ต้องการจัดเก็บ จากนั้นคลิก OK



จะได้ผลลัพธ์ของ eu_vill ที่ทำ Reclassify


 ต่อมาคือการคำนวณพื้นที่เหมาะสม ของข้อมูลทั้งหมด จากสูตรทางคณิตศาสตร์
จะใช้คำสั่ง Raster Calculator ที่อยู่ในคำสั่ง ArcTollbox > Spatial Analyst > Map Algebra > Raster Calculator



พิมพ์สูตรการคำนวณพื้นที่ จากนั้นเลือกที่จัดเก็บที่ช่อง Output raster และคลิก OK



ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Raster Calculator หรือการคำนวณพื้นที่



ทำการจัดข้อมูลโดยใช้คำสั่ง Reclassify โดยเลือกจาก  ArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Reclass > Reclassify 



ช่อง Input เลือกข้อมูลที่ต้องการทำ Reclassify จากนั้นเข้าไปตั้งค่า โดยคลิกที่ Classify




ช่อง Classes ให้เลือก Class เป็น 4 และทำการเปลี่ยนค่าที่ Breale Values ตามลำดับคือ 15.09 , 27.47 , 36 จากนั้นคลิก OK



เปลี่ยนค่าในช่อง New Values คือ 1 , 2 , 3 ตามลำดับ และในช่อง Output raster เลือกที่ ที่ต้องการจัดเก็บ จากนั้นคลิก OK



ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Reclassify สีเขียวเข้มคือพื้นที่ที่เหมาะสมน้อย 
สีเขียว(อ่อนปานกลาง) คือพื้นที่ที่เหมาะสมปานกลาง ส่วนสีเขียวอ่อนคือพื้นที่ที่เหมาะสมมากที่สุด



เปิดดูข้อมูลด้วยการคลิกขวาที่ Layer ข้อมูลจากนั้นเลือกที่ Open Attribute Table 



ในช่อง COUNT คือช่องที่นับจำนวนพิกเซล ว่ากลุ่มนั้นๆ มีกี่พิกเซล หน่วยของพื้นมีหน่วยเป็นไร้